โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

เปิดเรื่องราวมนต์เสน่ห์ของ โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์ ที่สรรสร้างนักเตะฝีเท้าดีมากมาย ตลอดจนเสียงเล่าขานจาก ตำนานลูกหนัง เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ที่ยกย่องถิ่น โอลด์แทรฟฟอร์ด ให้เป็น ” โรงละครแห่งความฝัน ” พร้อมเหตุการณ์สำคัญ และ ความเป็นมาของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอดทีมชั้นนำศึก พรีเมียร์ลีก

โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์ มีเรื่องราวความสำเร็จมากมาย รวมถึง การยกย่อง การอำลา ความสูญเสีย หรือ การเข้าใกล้ความสำเร็จ ที่ถูกจารึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์มากมายเราขอรวบรวมเหตุการณ์ที่อยู่ในความทรงจำของ โรงละครแห่งความฝัน บ้านที่มีเรื่องเล่า และ ตำนานสุดแสนพิเศษของ วงการลูกหนัง ให้คุณได้ติดตามกัน

ก่อกำเนิด โรงละครแห่งความฝัน

ซึ่งพวกเขาได้ใช้ชื่อเรียกว่า “เดอะ แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ เรียลเวย์ ฟุตบอล คลับ” โดย ใช้สนาม แบงก์สตรีต (Bank Street) หรือที่รู้จักในชื่อของ แบงก์เลน (Bank Lane) เป็นสนามเหย้าของทีม ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “นิวตัน ฮีธ” ในปี 1878

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ภายใต้ ชื่อเดิม นิวตัน ฮีธ ประเดิมเกมลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ ของพวกเขาด้วยการพ่ายแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 ซึ่งในฤดูกาลนั้น คาสิโนออนไลน์แปลว่า

นิวตัน ฮีธ ลงแข่งขันในลีกอาชีพครั้งแรก ทำผลงานได้น่าผิดหวังอย่างมาก คว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 จาก 30 เกมเท่านั้น ทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง ยังดีที่พวกเขายังเอาตัวรอดจากการตกชั้นได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ สมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 หวย24

UFASTAR356

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ของชายที่ชื่อ จอห์น เดวี่ส์ (John Henry Davies)

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1902 นิวตัน ฮีธ ยังคงประสบปัญหาในการเข้าร่วมลีกอาชีพอีกเช่นเคย เนื่องจากสภาวะทางการเงินของพวกเขา โดยสโมสรเป็นหนี้สูงถึง 2,670 ปอนด์ (ยุคนั้นเทียบเท่ากับ 260,000 ปอนด์ในปัจจุบัน) ส่งผลให้พวกเขาสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลายอย่างยิ่ง

แต่แล้ว วิกฤติทางการเงินในครั้งนั้น ถูกชายคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงมันให้เป็นโอกาส โดยผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ท้องถิ่นที่ชื่อ “จอห์น เดวี่ส์” (John Henry Davies) นำเงินเข้ามาลงทุนกับสโมสร พร้อมแต่งตั้งตนเองเป็นผู้อำนวยการสโมสรช่วงแรก ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานสโมสรอย่างเต็มตัว ในท้ายที่สุด

เดวี่ส์ เริ่มการเปลี่ยนแปลก โดยเปลี่ยนชื่อทีมจากเดิม นิวตัน ฮีธ มาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ตัดสินใจย้ายสนามเหย้าแห่งเดิม สนาม แบงก์สตรีต (Bank Street) ไปยัง โอลด์แทรฟฟอร์ด ฟุตบอลออนไลน์ ในย่านนิคมอุตสาหกรรมแทรฟฟอร์ด ซึ่งมีพื้นที่อาณาเขตกว้างขวางกว่าเดิม

ด้วยเหตุผลที่ สนาม แบงก์สตรีต ไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก ซึ่งเกมสุดท้ายในการใช้สนามแห่งนี้คือเกมที่ยูไนเต็ดเอาชนะ ทอตแนมฮอทสเปอร์ ไปได้ 5–0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1910

คว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์

หลังจากการมาของผู้บริหารทีมชุดใหม่ในปีก่อน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แต่งตั้ง “เออร์เนสต์ แมกนัลล์” (Ernest Mangnall) เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมในปี 1903

และแล้วความสำเร็จที่ เหล่าสาวก เร้ดอามี่ (Red Army) รอคอยได้สัมฤทธิ์ผล เมื่อฤดูกาล 1907-1908 “ปีศาจแดง” สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสูดของอังกฤษ มาครองในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร

8 ปีภายใต้ร่มเงาสนามคู่ปรับ สู่ยุคผู้สร้างตำนาน “เร้ด เดวิลส์”

หลังจาก รัฐบาลอังกฤษ ประกาศทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบ ในปี 1940 (สงครามโลกครั้งที่ 2 ) ส่งผลให้ การแข่งขันฟุตบอลลีกต้องโดนระงับตามไป ขณะที่ สโมสร แมนฯ ยูไนเต็ด ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากสภาวะสงคราม

” ปีศาจแดง ” ย่างก้าวเข้าสู่ยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อปี 1945 แต่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้รับความเสียหาย ใช้การไม่ได้เนื่องจากถูกลูกระเบิดในปี 1941

ปีศาจแดง ตัดสินใจเซ็นสัญญาเช่าสนาม เมน โร้ด (Maine Road) ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็นสนามของ ทีมคู่ปรับร่วมเมือง เพื่อใช้เป็นสนามเหย้า ยาวนานถึง 8 ปี โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

ผู้สร้างตำนาน “เร้ด เดวิลส์”

หลังสิ้นสุดยุคสงคราม ยูไนเต็ด แต่งตั้ง เซอร์ แมตต์ บัสบี (Sir Alexander Matthew “Matt” Busby) เป็นผู้จัดการทีมในปี 1945 และ ชายผู้นี้คือตำนานผู้สร้าง “เร้ด เดวิลส์” ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง

ในช่วงที่บัสบี้เข้ามาทำทีม สนามแข่งทางสโมสรได้รับความเสียหายจากสงคราม อีกทั้งแบกภาระหนี้ธนาคารถึง 15,000 ปอนด์ ซึงการเซ็นสัญญาครั้งแรกของเขาไม่ใช่นักเตะ แต่คือ สุดยอดผู้ช่วยผู้จัดการทีม อย่าง จิมมี่ เมอร์ฟี่ ที่รับใช้สโมสรมาอย่างยาวนานจนถึงปี 1971

เขาทั้งสองร่วมกันสร้างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ชุดใหม่ขึ้นมา โดยวางรากฐาน ต่างๆ พร้อม ส่งทีมงานแมวมองคอยติดตาม สเกาเซอร์ ผู้เล่นที่ตยเองสนใจ ผลักดันผลิตผลนักเตะดาวรุ่ง ให้เป็นกำลังหลัก จนเกิดชุดนักเตะพลังหนุ่ม รุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดยุคหนึ่ง โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

บัสบี้ เป็นผู้บุกเบิก ให้สโมสรจากอังกฤษได้ไปเตะในยูโรเปี้ยน คัพ ในฤดูกาล 1956/57 โดยครั้งนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถทะลุเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะแพ้ให้กับแชมป์ของปีนั้น อย่าง เรอัล มาดริด

จากผลงานตลอดอาชีพผู้จัดการทีมของ บัสบี้ ได้รับการยกย่องมากมาย โดยปี 1958 เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นซีบีอี จากนั้นในปี 1968 ได้รับยศชั้นอัศวินหลังจากที่พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยุโรปได้ สำเร็จ และต่อมาในปี 1972 เขาก็ได้เข้าพิธีไนท์ คอมมานเดอร์ ที่เซนต์ เกรกอรี่ โดยพระสันตปาปา

ขณะที่ รูปปั้นสีบรอนซ์ ของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ถูกเปิดตัวขึ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1996 บริเวณนอกสนามฝั่งสกอร์บอร์ดของ โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพื่อเป็นการให้เกียรติกับ บัสบี้ ในฐานะ ชายผู้ที่นำความสำเร็จเข้ามายังสโมสร

โศกนาฏกรรมแห่งมิวนิค คราบน้ำตา และ ความสูญเสีย โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

ยามบ่าย ของวันพฤหัสดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 โศกนาฏกรรมที่ทุคนไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น เมื่อเครื่องบินโดยสารที่เต็มไปด้วย นักเตะพร้อม ทีมงาน ของ สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบอุบัติเหตุ ตกขณะกำลังนำเครื่องขึ้น ที่กรุงมิวนิค ประเทศเยอรมนี

เหตุการณ์การดังกล่าว ส่งผลให้ผู้เล่น และ เจ้าหน้าที่ของทีมเสียชีวิตทันที 23 ราย และ เหตุการณ์ในครั้งนั้น นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลก

ขณะที่ โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ แม็ตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีม และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Sir Bobby Charlton) ดาวรุ่งวัย 20 ปี ในขณะนั้น รอดตายจากเหตุการณ์นี้ อย่างปาฏิหาริย์ โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

ส่วน ยอดปราการหลังอย่าง ดันแคน เอ็ด เวิร์ดส (Duncan Edwards) ต้องเสียชีวิตลงในโศกนาฏกรรมนี้ในวัยเพียง 21 ปี

แชมป์ ยูโรเปี้ยน ครั้งแรก และ ฟุตบอลสมัยใหม่ของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

สามปีให้หลังจากโศกนาฏกรรม กาลเวลาเดินทางสู่ฝันที่เป็นจริงของ แม็ตต์ บัสบี้ ได้เกืดขึ้น เมื่อเขาพาลูกทีม คว้าแชมป์ถ้วยใบใหญ่สุด ของยุโรปไปครองได้สมัยแรกอย่างงดงาม

จากผลงานที่ ยูไนเต็ด ถล่ม เบนฟิก้า ยอดทีมชั้นนำของลีกฝอยทอง (ซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส) ซึ่งนำทัพโดย ยูเซบิโอ (Eusebio) นักเตะชื่อดังของโลกในขณะนั้น ไปได้ที่สนาม เวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 ก่อนที่ บัสบี้ จะอำลาตำแหน่งผู้จัดการในเวลาต่อมา

การมาถึงของกุนซือระดับพระกาฬ

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) ก้าวเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต่อจาก รอน แอตกินสัน (Ron Atkinson) หลังถูกตะเพิด ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1986

เฟอร์กูสัน สร้างความยิ่งใหญ่จนถึงขีดสุดให้ “ปีศาจแดง” ด้วยการเป็นกุนซือที่พาทีมคว้าแชมป์มากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร จากผลงาน คว้าแชมป์รายการต่างๆ 38 รายการตลอด 27 ปี การคุมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเขา นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1968-2013

เฟอร์กูสัน และ ปาฏิหาริย์คัมแบ็ค 1999

เกมชิงดำ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สาวกปีศาจแดง จดจำอย่างไม่มีวันลืม เมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งจะคว้า 2 แชมป์มาก่อนหน้านี้ (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ) และ กำลังลุ้นสร้างประวัติศาสตร์คว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” โดยพบกับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากเยอรมนี

เกมนี้ทั้งสองฝ่ายต่างขาดผู้เล่นกำลังสำคัญหลายคน โดยเฉพาะทางฝั่ง ปีศาจแดง ไม่มี พอล สโคลส์ และ รอย คีน ที่ติดโทษแบนทั้งคู่ ส่วนทางด้าน บาเยิร์น ต้องขาด บิเซนเต้ ลิซาราซู และ โจวานนี่ เอลแบร์

ภายใต้แฟนบอลที่เข้าชมกว่า 90,000 คน ในสนาม คัมป์นู ซึ่งเป็นทาง บาเยิร์น ออกนำอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่นาทีที่ 6 จากประตูของ มาริโอ บาสเลอร์ ตลอดเกมดูเหมือน ทัพ เสือใต้ เป็นฝ่ายครองเกมบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังมองหาลูกที่ 2 ไม่เจอ

ปาฏิหาริย์คัมแบ็ค ได้เกิดขึ้น เมื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจเทหมดหน้าตัก ส่ง เท็ดดี้ เชอริ่งแฮม และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ลงสนาม

เกมเดินทางเข้าสู่ช่วงทดเวลาเจ็บ เท็ดดี เชอร์ริงแฮม ยิงตีเสมอให้ ยูไนเต็ด เป็น 1-1 ในช่วงทดเจ็บนาทีแรก และช่วงเวลานั้น ทุกคนต่างมองว่า คงต้องตัดสิแชมป์กันในช่วงต่อเวลาพิเศษอย่างแน่นอน โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์

แต่แล้วมนต์เสน่ห์ของมวยลองบ่อนได้เกิดขึ้น ช่วงทดเจ็บนาทีที่ 3 ปีศาจแดง ได้สร้างสิ่งที่ใครหลายคนไม่คาดคิด ในจังหวะเตะมุม เดวิด เบ็คแฮม เปิดบอลเข้ามา เชอร์ริงแฮม โหม่งต่อให้ โอเล กุนนาร์ โซลชา ซัดเสยเพดานตาข่ายเข้าไปอย่างเด็ดขาด ช่วยให้ ปีศาจแดง ได้ได้ประตูชัย และทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองเจ้ายุโรปอย่างน่าเหลือเชื่อ

นอกจากนี้ในปี 1999 เฟอร์กูสัน ยังสร้างฤดูกาลแห่งทริปเปิลให้ “ปีศาจแดง” ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก , พรีเมียร์ลีก , เอฟเอคัพ จนกลายเป็นที่กล่าวขานมาถึงทุกวันนี้

ทำเนียบแชมป์ ของ เฟอร์กูสัน

• แชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย ฤดูกาล 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13
• แชมป์เอฟเอคัพ 5 สมัย 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04
• แชมป์ลีกคัพ 4 สมัย 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10
• แชมป์เอฟเอคอมมูนิตีชีลด์ 10 สมัย 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011
• แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย 1998–99, 2007–08
• แชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย 1990–91
• แชมป์ฟ่าซูเปอร์คัพ 1 สมัย 1991
• แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ 1 สมัย 1999
• แชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 1 สมัย 2008

จากความสำเร็จ มากมายของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำให้ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เขาเป็นอัศวินแห่งอังกฤษ (เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน) ซึ่งป็นชาวสกอตเพียงไม่กี่คนที่ได้รับเกียรติอันสูงนี้

ตลอดช่วงเวลา 26 ปีที่ผ่านมา เฟอร์กี้ คือกุนซือผู้สร้าง ที่มาพร้อมสีสันให้วงการลูกหนังอังกฤษอย่างมากมาย ด้วยวิถีฟุตบอลสมัยใหม่ สไตล์การทำงานที่เนี๊ยบ วาทะอันดุเดือด การทะเลาะกับ เดวิด เบคแคม การขว้างสตั๊ดถูกหางคิ้วลูกทีม การแบนไม่ให้สัมภาษณ์สื่อ ซึ่งจากนี้ไป เฟอร์กูสัน จะเป็นตำนานโค้ชผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดช่วงหนึ่งของสโมสรตลอดไป

และ ในวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013) เซอร์อเล็กซ์ประกาศยุติการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมลง หลังจบฤดูกาล 2012-13

ตำนานอันที่รัก เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน Bobby Charlton

ไม่มีใครไม่รู้จัก ศูนย์หน้าระดับตำนาน ของทัพปีศาจแดง ที่ชื่อว่า บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (Sir Bobby Charlton) เมื่อปี 1953 เขาเริ่มต้นชีวติการค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะนั้นเขามีอายุเพียง 17 ปี

ตลอดชีวิตการค้าแข้งของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ลงเล่นไปทั้งหมด 758 เกม ยิงให้สโมสรไปทั้งสิ้น 249 ประตู ก่อนจะฝากผลงานมากมาย และ อำลาทีมไปในปี 1973

ผลงานอันทรงคุณค่าของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน

แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

• ฟุตบอลลีกเฟิสต์ดิวิชัน 3 สมัย ฤดูกาล 1956–57, 1964–65, 1966–67
• เอฟเอคัพ 1สมัย ฤดูกาล 1962–63
• เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 4 สมัย ฤดูกาล 1956, 1957, 1965, 1967
• ยูโรเปี้ยนคัพ 1 สมัย ฤดูกาล 1967–68

ทีมชาติอังกฤษ

• ฟุตบอลโลก 1 สมัย ปี 1966
• บริติชโฮมแชมเปียนชิป 10 สมัย ฤดูกาล 1958, 1959, 1960, 1961, 1964, 1965, 1966, 1968, 1969, 1970
• อันดับสาม ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1968 เหรียญทองแดง

เรื่องราวความสำเร็จ คราบน้ำตา ตำนานนักเตะ-ผู้จัดการทีม ทั้งหมดล้วน เกิดขึ้นที่ โรงละครแห่ง แคว้น แลงคาสเตอร์ แห่งนี้

ท้ายที่สุดแล้ว เราคงต้องติดตามผลงานของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2020/2021 ที่พร้อมสร้างสีสันบนผืนหญ้าในเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ซึ่งในฤดูกาลนี้ เกมเปิดซีซั่นใหม่จะเริ่มขึ้นใน วันเสาร์ที่ 12 กันยายน 2020 นี้

โรงละครแห่งความฝัน

บอล หวย มวย บาคาร่า สล็อต joker ครบจบที่นี่ UFASTAR356

อัพเดทล่าสุด : 19 ตุลาคม 2022